วันนี้เราอย ากที่จะพาเพื่อนๆ ไปเรียนรู้ข้อคิดที่จะทำให้ลูกของเราเป็นคนเก็บกดโดยที่พ่อแม่ไม่รู้ตัว กับบทความ ยิ่งพ่อแม่คาดหวังกับลูกมากจนเกินไป อาจส่ งผลต่อจิตใจลูกไม่รู้ตัว ไปดูกันว่ามีเรื่องราวอะไรบ้างที่พ่อแม่ไม่ควรคาดหวังจากลูกมากจนเกินไป
คงไม่มีคุณพ่อคุณแม่คนไหนไม่เคยตั้งความหวังกับลูก ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังในพัฒนาการด้านต่างๆ เช่น เมื่อลูกอายุ 6 เดือนควรจะเริ่มคลาน หรือเมื่ออายุ 1 ขวบลูกควรจะเริ่มหัดพูด และหัดเดินได้แท้จริงแล้ว ความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อลูกก็เป็นสิ่งที่จำเป็นไม่น้อย เพราะมีส่วนทำให้ลูกมีความพย าย ามทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จมากขึ้น มองไม่เห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้น
ซึ่งจะเห็นได้จากงานวิ จั ยของต่างประเทศกล่าวว่า การที่เด็กจะประสบความสำเร็จและภาคภูมิใจในตัวเองได้ จากความคาดหวังและผลักดันของพ่อแม่ที่จะทำให้ลูกพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ แต่เมื่อลูกโตขึ้น ความคาดหวังที่มากและหนักหน่วงเกินไป ก็อาจแปรเปลี่ยนและส่ งผลร้ า ยทำให้ลูกรู้สึกกดดัน เพราะบางครั้ง ความคาดหวังของพ่อแม่อาจสูงเกินความสามารถของลูกไปบ้าง
เช่น พ่อแม่หวังอย ากให้ลูกสอบวิช าคณิตศาสตร์ได้คะแนนดี แต่ไม่ได้สังเกตว่า ความเป็นจริงแล้ว ลูกไม่ชอบและไม่เก่งวิช าคณิตศาสตร์ แต่เมื่อรู้ว่าพ่อแม่คาดหวัง ก็จะทำให้ลูกมีความเค รี ย ด และกดดัน กลัวจะสอบได้คะแนนน้อย และความกดดันที่มากเข้าก็อาจทำให้เกิดปัญหาอื่นต ามมา
1 คาดหวังเป็นระยะสั้นๆ ก็พอ
จริงอยู่ที่ความคาดหวังเป็นสิ่งที่เลี่ยงกันไม่ได้ แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ควรระมัดระวังให้เป็นไปอย่ างพอ ดี ไม่ตึงเกินหรือหย่อนเกินไป และที่สำคัญอีกหนึ่งอย่ างก็คือ พ่อแม่ไม่ควรคาดหวังกับลูก ในระยะย าวมากเกินไป เช่น คาดหวังว่าลูกจะต้องเรียนห ม อตั้งแต่ลูกยังเด็ก และพย าย ามพูดหรือแสดงความคาดหวังของตัวเองออ กมาให้ลูกรับรู้ การทำแบบนี้ไม่ดีต่อลูกเป็นอย่ างมาก เพราะระหว่างการเติบโตของลูก เขาอาจค้นพบว่าตัวเองไม่ได้อย ากเรียนห ม อ เมื่อสิ่งที่ลูกต้องการไม่ตรงกับความคาดหวังของพ่อแม่ ก็จะทำให้ลูกรู้สึกกดดัน ไม่มีความสุข และอาจทำให้ ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวไม่ดีอีกด้วย
2 อย่ าเอาความต้องการของพ่อแม่ไปคาดหวังในตัวลูก
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรนำความต้องการของตัวเองไปฝากความหวังไว้กับลูก เช่น คุณแม่เคยเป็นคนเรียนหนังสือเก่ง ก็คาดหวังให้ลูกเรียนเก่ง หรือคุณพ่อเคยอย ากเล่นกีฬาเก่ง ก็เลยคาดหวังให้ลูกเล่นกีฬาเก่งเหมือนกันก่อนอื่น คุณพ่อคุณแม่ต้องเข้าใจว่าความเก่ง ความฉลาด และทักษะของลูกเป็นเรื่องเฉพาะตัว พ่อแม่อาจจะส่ งเสริมและสนับสนุนลูกได้ แต่ไม่ควร คาดหวังว่าลูกจะประสบความสำเร็จต ามที่ต้องการทุกอย่ าง
3 พ่อแม่ต้องเข้าใจว่าเด็กทุกคน มีเอ กลักษณ์เฉพาะตัว
มนุษย์ทุกคน มีเอ กลักษณ์เฉพาะตัว และนั่นก็หมายถึงลูกของคุณพ่อคุณแม่ด้วย ดังนั้นลูกอาจชอบหรือถนัดในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น เช่น พ่อแม่คาดหวังให้ลูกเก่งวิช าวิทย าศาสตร์เหมือน ญาติพี่น้องคนอื่น แต่ลูกอาจชอบและมีความถนัดด้านศิลปะมากกว่า การคาดหวังและพย าย ามทำให้ลูกชอบเรียนวิทย าศาสตร์จะกล า ยเป็นความกดดัน เพราะเมื่อลูกต้องเรียนหรือทำในสิ่งที่ ไม่ถนัด ลูกจะรู้สึกถูกลดทอนคุณค่าของตัวเองดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรมองหาสิ่งที่ลูกถนัด แล้วผลักดันในด้านนั้น เพราะเมื่อลูกได้ทำสิ่งที่ชอบและสำเร็จได้จากการสนับสนุนของคุณพ่อคุณแม่ ลูกจะรู้สึกภาคภูมิใจ มั่นใจในตัวเองมากขึ้น และอย ากจะพัฒนาตัวเองต่อไป
4 มีความคาดหวังที่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง
สิ่งที่ละเลยไปไม่ได้เลยคือพื้นฐานของความเป็นจริง เด็กจะมีพัฒนาการค่อยเป็นค่อยไปต ามช่วงวัย เช่น คุณพ่อคุณแม่อาจคาดหวังว่าลูกจะไม่ร้องไห้งอแงเมื่อไปโรงเรียนวันแรก แต่ธรรมช าติ ของเด็กที่ไม่เคยแยกจากพ่อแม่หรือไปโรงเรียน มาก่อนย่อมต้องการและโหยหาคุณพ่อคุณแม่เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นหากลูกจะร้องไห้งอแงบ้างก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ หรือแม้แต่การคาดหวัง
ว่าเมื่อลูกเข้าโรงเรียนแล้ว จะต้องดูแลตัวเองรับผิดชอบตัวเองได้อย่ างดี ก็อาจเป็นการคาดหวังที่เกินความสามารถของลูกในช่วงวัยนั้นๆดังนั้นความคาดหวังที่ดีควรจะตั้งอยู่บนพื้นฐานที่เหมาะสม กับลูก ไม่ว่าจะเป็นช่วงวัยหรือความถนัดของลูก ถ้าพ่อแม่คาดหวังในตัวลูกอย่ างพอ ดี ความคาดหวังนั้นจะเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้เด็กประสบความสำเร็จได้อย่ างมีความสุขและภาคภูมิใจ ไปกับมัน ไปจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกก็จะดีด้วยเช่นกัน
ที่มา a b o u t m o m, f a h h s a i